สัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์
การทำงานของทรานซิสเตอร์ แบ่งเป็น 3 รูปแบบดังนี้
2. Satuation Region (บทที่ 8 , 9 , 10)
จากรูปที่ 6 เราจะได้ค่าพารามิเตอร์ที่สำคัญในการคำนวณดังนี้
3. Active Region (ผมยังไม่เชี่ยวชาญโหมดนี้ ขอมาเพิ่มเติมบทความในอนาคตนะครับ)
1. Cut-off Region หรือ โหมดหยุดการทำงานของทรานซิสเตอร์ เกิดจากสภาวะไม่มีกระแส IB ไหลในวงจร เมื่อไม่มีกระแส IB ไหล ก็จะทำให้ขา C,E ของทรานซิสเตอร์ มีค่าความต้านทานสูงมาก โดยทั่วไปมีค่าประมาณ 500kΩ - 10MΩ ซึ่งจะทำให้กระแส IC ไหลได้น้อยมากๆ จนเรามองว่ามันไม่ไหลและทรานซิสเตอร์หยุดทำงานนั่นเอง
1. Cut-off Region หรือ โหมดหยุดการทำงานของทรานซิสเตอร์ เกิดจากสภาวะไม่มีกระแส IB ไหลในวงจร เมื่อไม่มีกระแส IB ไหล ก็จะทำให้ขา C,E ของทรานซิสเตอร์ มีค่าความต้านทานสูงมาก โดยทั่วไปมีค่าประมาณ 500kΩ - 10MΩ ซึ่งจะทำให้กระแส IC ไหลได้น้อยมากๆ จนเรามองว่ามันไม่ไหลและทรานซิสเตอร์หยุดทำงานนั่นเอง
วิธีใช้งาน Cut-off Region โหมดง่ายๆคือ ป้อนแรงดันให้ขา B และ E ของทรานซิสเตอร์เท่ากัน เช่น ชนิด NPN เราจะต่อขา B ลง GND ตรงๆเลย หรือต่อผ่านตัวต้านทานลง GND (เรียกว่าการ Pull Down) ก็สามารถทำได้ ตัวอย่างวงจรแสดงดังรูปที่ 1
รูปที่ 1
ส่วนถ้าเป็นชนิด PNP ก็ใช้หลักการเดียวกัน แต่เปลี่ยนจากการต่อลง GND ไปต่อกับแรงดันที่ขา E แทน โดยจะต่อขา B ไปที่ขา E โดยตรง หรือต่อผ่านตัวต้านทาน(เรียกว่าการต่อ Pull Up) ก็สามารถทำได้ ตัวอย่างวงจรแสดงดังรูปที่ 2
รูปที่ 2
*ผมแนะนำให้ต่อผ่านตัวต้านทาน เพราะว่าเราจะสามารถนำวงจรไปประยุกต์ใช้กับวงจรอื่นที่จะมาต่อร่วมได้อีกทอดหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือเราไม่ควรปล่อยให้ขา B ลอยไว้เฉยๆโดยไม่ต่ออะไรดังแสดงในรูปที่ 3 เนื่องจากอาจมีสัญญาณจากภายนอกมารบกวน ซึ่งอาจจะทำให้มีกระแส IB รั่วไหลได้ และเมื่อมี IB รั่วไหลก็จะทำให้กระแส Ic ไหลตามไปด้วยนั่นเอง วิธีการแก้ไขอย่างง่าย แสดงดังรูปที่ 4 โดยเพิ่ม RB2 เข้าไปอีกตัว ซึ่งค่าที่แนะนำให้ใช้ ให้ใส่ค่ามากกว่า RB1 10 เท่า
รูปที่ 3
รูปที่ 4
จากตัวข้างต้นก็คือวงจรตัวอย่างพื้นฐานซึ่งยังไม่ได้มีการคำนวณใดๆ ส่วนการคำนวณจะขอรวมตัวอย่างกับ Satuation Region เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว เราจะออกแบบวงจรทรานซิสเตอร์ที่ใช้งานแบบ Satuation Region ให้สามารถ Cut-off ได้ด้วย เพราะวงจรส่วนใหญ่ที่นำไปใช้คือวงจรสวิตช์ครับ โดยผมจะขออธิบายต่อจากนี้ไปครับ
2. Satuation Region หรือ โหมดการทำงานของทรานซิสเตอร์ แบบอิ่มตัว เกิดจากสภาวะกระแส IC ไหลในวงจรแบบสูงสุดเพื่อให้ได้ค่า VCE ต่ำที่สุด โดยทั่วไป อยู่ประมาณ 0.3V - 1.2V และนี่คือเหตุผลที่เราใช้ Satuation Region มาออกแบบเป็นวงจรสวิตช์นั่นเอง ว่าแล้วมาดูวงจรตัวอย่างพร้อมการคำนวณกันเลยครับ
ตัวอย่างที่ 1 ทำวงจรสวิตช์ทรานซิสเตอร์แบบใช้แหล่งจ่ายเดียว (NPN)
รูปที่ 5
มารวบรวมค่าพารามิเตอร์ต่างๆจากดาต้าชีทของ BC547 กัน
รูปที่ 6
VCB = 50V
VCE = 45V
VCE(sat)(max) = 0.3V
VBE(max) = 1.1V
IC = 100mA
PC = 625mW
hfe(β)(min) = 110
f = 150MHz
rth = 200⁰C/W
เมื่อเราจะออกแบบวงจรให้ทำงานในโหมด Satuation Region เราต้องกำหนดค่าพารามิเตอร์บางตัวใหม่ดังนี้
IC(sat) = IL
= 50mA
hfe(β) = hfe(β)(min) / 2
= 110/2
= 55
PC = PC(max) - ((85 - อุณหภูมิห้อง) / rth)
= 0.625 - ((85-25) / 200)
= 0.625 - 0.300
= 0.325W
Vload = Vcc - VCE(sat)
= 12 - 0.3
= 11.7V อยู่ในช่วงที่โหลดต้องการคือ 10V - 14Vดังนั้นทรานซิสเตอร์ตัวนี้สามารถใช้งานได้
PC(max) ของวงจรนี้คือ
= VCE(sat) × IC(sat)
= 0.3 × 50mA
= 15mW ไม่เกินจากที่ทรานซิสเตอร์ทนได้ ดังนั้นทรานซิสเตอร์ตัวนี้สามารถใช้งานได้
IB(sat) = IC(sat) / hfe
= 50mA/55
= 0.91mA
เมื่อรวบรวมพารามิเตอร์ที่สำคัญครบแล้วเราก็มาคำนวณหาค่า RB1 RB2 กันครับ โดยที่ RB2 = 10 × RB1
RB1 = (Vcc - 1.1VBE) / IB(sat)
= (12 - 1.1 × 1.1) / 0.91mA
= 11.86kΩ
RB2 = 10 × 11.86
= 118.6kΩ
ดังนั้นจากวงจรตัวอย่างที่ 1 สรุปได้ว่า ค่า RB1 ที่ผมเลือกใช้คือ 12kΩ และค่า RB2 ที่ผมเลือกใช้คือ 120kΩ รวมถึงค่า Vload PC ก็อยู่ในเงื่อนไขที่กำหนด ดังนั้นวงจรนี้สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ
พารามิเตอร์ต่างๆใช้จากตัวอย่างที่ 1 เปลี่ยนเพียงสูตรหาค่า RB1
โดยเราสามารถสร้างวงจรใหม่ได้ 2 แบบดังนี้
1.แบบไม่ใส่ RB2 จะได้สมการดังนี้
RB1 = (VON - VBE) / IB(sat)
= (5 - 1.1) / 0.91mA
= 4.29kΩ
2.แบบใส่ RB2 เหมือนเดิมจะได้สมการดังนี้
RB1 = (VON - 1.1VBE) / IB(sat)
= (5 - 1.1) / 0.91mA
= 4.16kΩ
RB2 = 10 × 4.16
= 41.6kΩ
*ผมขอแนะนำว่าถ้าต้องการให้ทรานซิสเตอร์หยุดทำงานได้เร็วขึ้น(ที่ความถี่มากกว่า1kHz) หรือในกรณีที่มีการลากสายมาจาก Arduino ยาวๆ เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนอื่นๆที่อาจรบกวนวงจรได้อีกทาง หากมีพื้นที่บน PCB มากพอ ผมแนะนำให้ใช้แบบที่ 2 แต่ถ้าวงจรที่นำไปใช้งานไม่ได้มีสัญญาณรบกวนมาก ไม่ได้มีการ ON/OFF เร็วๆ(น้อยกว่า1kHz) หรือไม่ได้มีการลากสายไฟจาก Arduino ก็สามารถใช้แบบที่ 1 ได้เช่นเดียวกันครับ ขอจบบทที่ 8 แต่เพียงเท่านี้ แต่ยังมีวงจรทรานซิสเตอร์อีกหลายแบบให้ได้ศึกษากันในบทความต่อๆไป ฝากติดตามกันด้วยนะครับ
การคำนวณทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจง่ายผมจึงไม่ได้รวมค่าความคลาดเคลื่อนของตัวต้านทานเข้าไปแต่โดยทั่วไปคำนวณแค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ หากท่านใดมีข้อสงสัยเพิ่มเติม อินบล็อคเข้ามาสอบถามได้เลยครับ เจอกันบทความหน้าครับ**สำคัญมาก "คำแนะนำทั้งหมดเป็นเพียงแนวทางในการออกแบบเท่านั้น ไม่ได้เป็นการยืนยันว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องขึ้นกับวงจรที่ออกแบบ ดังนั้นผู้ออกแบบต้องออกแบบวงจรด้วยความระมัดระวังรอบคอบนะครับ" ขอบคุณครับ
ข้อมูลอ้างอิงVCE = 45V
VCE(sat)(max) = 0.3V
VBE(max) = 1.1V
IC = 100mA
PC = 625mW
hfe(β)(min) = 110
f = 150MHz
rth = 200⁰C/W
เมื่อเราจะออกแบบวงจรให้ทำงานในโหมด Satuation Region เราต้องกำหนดค่าพารามิเตอร์บางตัวใหม่ดังนี้
IC(sat) = IL
= 50mA
hfe(β) = hfe(β)(min) / 2
= 110/2
= 55
PC = PC(max) - ((85 - อุณหภูมิห้อง) / rth)
= 0.625 - ((85-25) / 200)
= 0.625 - 0.300
= 0.325W
Vload = Vcc - VCE(sat)
= 12 - 0.3
= 11.7V อยู่ในช่วงที่โหลดต้องการคือ 10V - 14Vดังนั้นทรานซิสเตอร์ตัวนี้สามารถใช้งานได้
PC(max) ของวงจรนี้คือ
= VCE(sat) × IC(sat)
= 0.3 × 50mA
= 15mW ไม่เกินจากที่ทรานซิสเตอร์ทนได้ ดังนั้นทรานซิสเตอร์ตัวนี้สามารถใช้งานได้
IB(sat) = IC(sat) / hfe
= 50mA/55
= 0.91mA
เมื่อรวบรวมพารามิเตอร์ที่สำคัญครบแล้วเราก็มาคำนวณหาค่า RB1 RB2 กันครับ โดยที่ RB2 = 10 × RB1
RB1 = (Vcc - 1.1VBE) / IB(sat)
= (12 - 1.1 × 1.1) / 0.91mA
= 11.86kΩ
RB2 = 10 × 11.86
= 118.6kΩ
ดังนั้นจากวงจรตัวอย่างที่ 1 สรุปได้ว่า ค่า RB1 ที่ผมเลือกใช้คือ 12kΩ และค่า RB2 ที่ผมเลือกใช้คือ 120kΩ รวมถึงค่า Vload PC ก็อยู่ในเงื่อนไขที่กำหนด ดังนั้นวงจรนี้สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ
ตัวอย่างที่ 2 จากตัวอย่างที่ 1 เปลี่ยนตัวควบคุมเป็นรับสัญญาณมาจาก Arduino หรือ Microcontroller อื่นๆ (NPN)
รูปที่ 7
พารามิเตอร์ต่างๆใช้จากตัวอย่างที่ 1 เปลี่ยนเพียงสูตรหาค่า RB1
โดยเราสามารถสร้างวงจรใหม่ได้ 2 แบบดังนี้
1.แบบไม่ใส่ RB2 จะได้สมการดังนี้
RB1 = (VON - VBE) / IB(sat)
= (5 - 1.1) / 0.91mA
= 4.29kΩ
2.แบบใส่ RB2 เหมือนเดิมจะได้สมการดังนี้
RB1 = (VON - 1.1VBE) / IB(sat)
= (5 - 1.1) / 0.91mA
= 4.16kΩ
RB2 = 10 × 4.16
= 41.6kΩ
*ผมขอแนะนำว่าถ้าต้องการให้ทรานซิสเตอร์หยุดทำงานได้เร็วขึ้น(ที่ความถี่มากกว่า1kHz) หรือในกรณีที่มีการลากสายมาจาก Arduino ยาวๆ เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนอื่นๆที่อาจรบกวนวงจรได้อีกทาง หากมีพื้นที่บน PCB มากพอ ผมแนะนำให้ใช้แบบที่ 2 แต่ถ้าวงจรที่นำไปใช้งานไม่ได้มีสัญญาณรบกวนมาก ไม่ได้มีการ ON/OFF เร็วๆ(น้อยกว่า1kHz) หรือไม่ได้มีการลากสายไฟจาก Arduino ก็สามารถใช้แบบที่ 1 ได้เช่นเดียวกันครับ ขอจบบทที่ 8 แต่เพียงเท่านี้ แต่ยังมีวงจรทรานซิสเตอร์อีกหลายแบบให้ได้ศึกษากันในบทความต่อๆไป ฝากติดตามกันด้วยนะครับ
การคำนวณทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจง่ายผมจึงไม่ได้รวมค่าความคลาดเคลื่อนของตัวต้านทานเข้าไปแต่โดยทั่วไปคำนวณแค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ หากท่านใดมีข้อสงสัยเพิ่มเติม อินบล็อคเข้ามาสอบถามได้เลยครับ เจอกันบทความหน้าครับ**สำคัญมาก "คำแนะนำทั้งหมดเป็นเพียงแนวทางในการออกแบบเท่านั้น ไม่ได้เป็นการยืนยันว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องขึ้นกับวงจรที่ออกแบบ ดังนั้นผู้ออกแบบต้องออกแบบวงจรด้วยความระมัดระวังรอบคอบนะครับ" ขอบคุณครับ
บทความโดย Pomtep Narak
2019/03/23
สอบถามเรื่องสูตรการหาค่า RB1 และ RB2 รวมทั้งสูตร RB2=10xRB1 อยากถามว่า
ตอบลบในกรณีที่ใช้ ค่า RB2 ต่อแบบ dividerกับ RB1=(Von-1.1Vbe)/IB แต่หากใช้ RB1 ต่อเข้าที่ขา B ของ transistorเพียงอย่างเดียว RB1=(Von-Vbe)/IB ทำไมต้องคูณ 1.1 Vbeด้วยครับ? อีกสูตรหนึ่งRB2=10xRB1 อยากทราบว่าเป็นมาอย่างไร ทำไมต้องคูณด้วย10 หากคูณด้วยเลขจำนวนอื่นเช่น 3 5 7 9 แล้วผลจะเป็นอย่างไรครับ
ขอบคุณมากๆสำหรับคอมเม้นนะครับ RB1=(Von-1.1Vbe)/IB แท้จริงแล้วมาจากสูตรนี้ครับ IB = IB1 - IB2 แล้วผมแทนค่า IB1 = (Vcc-Vbe) / RB1 และแทน IB2 = VBE / RB2 และแทน RB2 ด้วย 10RB1 ครับ แล้วผทก็จัดรูปสมการใหม่ครับ ส่วนที่มาของ 10RB1 มาจากผลการทดลองและใช้งานจริงที่ผมทำมาครับ ด้วยแนวคิดเริ่มต้นนั้นคิดมาจากจะทำอย่างไรให้กระแสที่ไหลผ่าน RB2 น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ **แต่ไม่ใช่ว่าค่า 10RB1 เป็นค่าที่ถูกต้องที่สุดแต่เป็นเพียงการทดลองที่ผมได้ทำขึ้นใช้จริงและยังไม่เคยพบปัญหาจากสูตรนี้ครับ จึงอยากแบ่งปันสู่เพื่อนๆ หากมีคำแนะนำใดๆเพิ่มเติมผมยินดีนำมาเพื่อปรับปรุงแก้ไขในภายหน้า ขอบคุณนะครับ
ตอบลบ